งาดำ มก.18 เป็นพันธุ์แท้ที่มีการปรับปรุงพันธุ์โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ซึ่งได้คัดเลือกพันธุ์โดยวิธีจดประวัติจากคู่ผสมระหว่าง col.34 กับงาดำนครสวรรค์ ในระหว่างปี 2528-2530 มีการทดสอบผลผลิตในสถานีทดลอง
และใสภาพไร่เกษตรกรในปี 2534 งาดำพันธุ์ มก.18 มีลักษณะการเจริญเติบโตแบบทอดยอด ใบสีเขียวเข้ม
ลำต้นไม่แตกกิ่งก้าน และค่อนข้างสูง เมล็ดมีสีดำสนิทลักษณะฝัก 2 พู ฝักเกิดตรงกันข้าม ดังนั้น 1 ข้อจะมี 2 ฝัก
การเรียงตัวของฝักจะเป็นแบบเวียนสลับรอบลำต้นความยาวปล้องสั้นทำให้จำนวนของฝักต่อต้นสูง
ทนทานต่อโรคราแป้ง และทนต่อการหักล้ม
ปัจจัยจำเป็นที่ต้องใช้
เมล็ดพันธุ์ มก.18 หว่านใช้เมล็ดพันธุ์ 1-2 กก./ไร่
ปุ๋ยใช้สูตร 15-15-15 จำนวน 25 กก./ไร่
ขั้นตอนการดำเนินงาน
การปลูกงา
เกษตรกรส่วนใหญ่จะปลูกโดยวิธีหว่าน
หลังจากไถเตรียมดิน 1-2 ครั้ง
ใช้เมล็ดงาหว่านให้กระจายสม่ำเสมอในแปลงปลูกแล้วคราดกลบทันที เพราะถ้ารอจนหน้าดินแห้งหรือเมล็ดถูกแดดเผานานๆ
เมล็ดงาจะตกมันทำให้ไม่งอกหรืองอกไม่สม่ำเสมอ
สำหรับเมล็ดพันธุ์ที่หว่านจะใช้ประมาณ 1-2 กก./ไร่ ขึ้นอยู่กับสภาพการเตรียมดินของเกษตรกร ในการหว่านอาจใช้ทรายละเอียด
ขี้เถ้าแกลบ หรือมูลสัตว์ผสมในอัตรา 1 : 1 เพื่อช่วยให้เมล็ดงากระจายสม่ำเสมอมากขึ้น
การดูแลรักษา
ศัตรูงาที่สำคัญ แมลง ได้แก่ หนอนห่อใบงา และหนอนผีเสื้อหัวกะโหลก
ควรหมั่นตรวจแปลง และฉีดพ่นสารเคมีแมลง เมื่อมีปริมาณมากในระดับเศรษฐกิจ
สำหรับโรคที่สำคัญคือ โรคราก และโรคโคนเน่าซึ่งเกิดจากเชื้อรา
ควรหลีกเลี่ยงการปลูกงาซ้ำที่เดิม และคลุกเมล็ดด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อราก่อนปลูก
การเก็บเกี่ยว
เก็บเกี่ยวได้เมื่อตามอายุงา ซึ่งพันธุ์ มก.18 มีอายุ 85-90 วัน หรือให้เด็ดฝักที่ 3 จากยอดงาที่มีสีคล้ายฟันควาย ให้เก็บเกี่ยวได้ โดยใช้เคียวเกี่ยวนำไปมัด 3 ขา ตั้งตากแดด 3-5 วัน จะทำการบ่มหรือไม่บ่มก็ได้
การบ่มงาจะเกี่ยวแล้วนำมากองเป็นแปลงวางต้นงาสลับกันคล้ายกองเห็ดฟาง
จะใช้พลาสติกคลุมบ่มไว้ 2-3 วัน จึงนำไปมัด 3 ขา ตากให้แห้ง 2-3 วัน จึงนำไปแคะเอาเมล็ดงาออกจากฝัก
หมายเหตุ
ฤดูปลูก รุ่นที่ 1 ปลายเดือนมกราคม-มีนาคม รุ่นที่ 2 กรกฎาคม-สิงหาคม
พื้นที่ปลูกงาควรเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดี
ไม่มีน้ำขังแฉะ และเป็นกรดจัด
ผลผลิต
อายุเก็บเกี่ยวปลายฤดูฝน 85 วัน ต้นฤดูฝน 90 วัน ผลผลิต 60-170 กิโลกรัมต่อไร่ ผลผลิตใช้บริโภคและสกัดน้ำมัน
มีคุณค่าทางอาหารสูง
ตลาดและผลตอบแทน
งาเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ
ใช้บริโภคภายในประเทศและส่งออก ราคาที่เกษตรกรขายได้กิโลกรัมละ 15-20 บาท